Wednesday, January 16, 2008

ลานสิงหบาท





ลานสิงหบาท




พอผ่านบันไดหินขั้นสุดท้ายก็เป็นลานขนาดกว้างพอนั่งพักได้สบาย หายเหนื่อยเลยทีเดียวพอมาถึงชั้นนี้แล้ว เป็นการเรียกกำลังใจกลับมาเพราะนี่มาถึงประตูสวรรค์จริง ๆ แล้ว ก่อนที่จะขึ้นยอดเขาเพื่อไปชมวิมานของพระอินทร์ คือปราสาทราชมณเฑียรของพระเจ้ากัสยปะนั้นเอง
แต่ก่อนจะผ่านประตูนี้ ก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเหลือบไปเห็นเท้าสิงห์ที่สลักจากหินใหญ่โตมาก เล็บแต่ละเล็บยาวถึง ๗ – ๘ ฟุต หลายท่านคงจะนึกออกถ้ากล่าวถึงรูปสฟิงซ์ที่หน้าปีรามิดในอียิปต์ คือรูปแกะสลักสิงโตขนาดใหญ่ที่มีหน้าเป็นคน แต่สิงโตที่ลานสิงหบาทนี้คงเหลือให้เห็นแต่เท้ากับกรงเล็บที่แหลมคมน่าเกรงขาม คติความเชื่อที่สร้างรูปนี้ขึ้นมาไม่ทราบว่าใครเลียนแบบใคร แต่ถ้าว่าตามประวัติศาสตร์แล้วอียิปต์ย่อมมาก่อนแน่ แต่ไอเดียนี้พระเจ้ากัสยปะคงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองอียิปต์แล้วเก็บเอาสร้างที่นี่แน่ แต่บังเอิญว่าแนวความคิดมันมาตรงกันเท่านั้น เพราะยุคสมัยห่างกันมาก และอีกอย่างสื่อเทคโนโลยีไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่เราติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องเตินทางไปด้วยตนเอง
แต่ที่มาของรูปปั้นสิงโตนี้ได้มาจากชื่อของภูเขาลูกนี้ซึ่งมีชื่อว่า “สิงหบรรพต” ก็คือภูเขารูปสิงห์ มองจากจุดนี้ จะเห็นภูเขาทั้งลูกเป็นรูปสิงห์หมอบ ระหว่างเท้าสิงห์มีบันไดที่แกะลึกลงไปในหิน เพื่อปีนขึ้นไปถึงยอด ซึ่งหน้าผาชันประมาณ ๗๐ – ๘๐ องศา มีบันไดซึ่งทำด้วยการสกัดหินเป็นขั้นๆ และรั้วเหล็ก พร้อมด้วยราวสำหรับจับ กว่าจะขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นบนสุดก็ต้องไต่บันไดขึ้นไปอีกกว่า ๑๐๐ ขั้น
มีหลายท่านเมื่อเดินทางขึ้นมาถึงลานสิงหบาทแล้วขอพักเหนื่อยก่อน และให้พวก ๆ เดินทางไต่หน้าผาขึ้นไปก่อน เพราะว่ามันเป็นการเสียงอันตรายมากเกินไป ในช่วงไต่บันไดเหล็กจากประตูเท้าสิงห์ขึ้นไปถึงลานพระราชวังนี้จะต้องใจกล้าเต็มร้อย คือจะต้องเป็นโรคไม่กลัวความสูง และมีกำลังแข็งขาดีพอสมควรในการพาสังขารขึ้นสู่ที่สูงจากแรงโน้มถ่วงของโลก

ลานสิงหบาทนี้จึงเป็นฉากถ่ายรูปของบรรดานักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึง และเป็นข้ออ้างที่จะไม่ปีนหน้าผาต่อ โดยจะขอถ่ายรูปหน้าเท้าสิงห์ที่ผงาดอยู่ในท่าหมอบครึ่งตัว แต่ไม่มีหัว มีแต่เท้าและกรงเล็บยื่นออกมา ประหนึ่งว่าพญาราชสีห์ปรากฏตัวออกจากเหลี่ยมเขา อ้าปากกว้างเป็นทางเสด็จผ่านทุกๆวันของพระราชาผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์บนพื้นพิภพนี้
เมื่อก่อนนั้น ลานสิงหบาทแห่งนี้สร้างไว้เป็นลานที่พักของบรรดาข้าหลวง หรือ ข้ารับใช้ใกล้ชิดของพระเจ้ากัสยปะและมเหสี ยามค่ำคืนจะเสด็จขึ้นไปประทับบนปราสาทตามลำพัง ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปด้วย จะต้องรอรับใช้อยู่ลานสิงหบาทนี้ เท่านั้น

Srigiriya : The Heaven on Earth




นางอัปสรสวรรค์ ที่หน้าผา สิกิริยา






หลังจากที่รอขึ้นบันไดเวียนเป็นก้นหอยเพื่อที่ยลโฉมนางอัปสรทั้งหลายบนหน้าผาสูงชัน และแล้วความฝันของหลาย ๆ คนก็เป็นจริง คือได้ไปยืนอยู่บนหน้าผาที่เป็นเพิงถ้ำพอเป็นที่กันแดดและฝนทำให้ภาพประวัติศาสตร์เหล่านั้นไม่ลบเลือนไปตามกาลเวลาอันควร บวกกับเทคนิคการเขียนภาพแบบเฟรสโกซึ่งได้อธิบายไปแล้วนั้นด้วย จึงทำให้หลาย ๆ ท่านตกตลึงกับภาพของความงดงามด้านศิลปะทางสรีระของหญิสาวซึ่งนักประวัติศาสตร์หลายท่านตีความว่าเป็นนางฟ้า หรือนางอัปสรสวรรค์ เพราะว่าผู้ที่สร้างพระราชวังนี้ต้องการที่จะชลอสวรรค์มาไว้บนพื้นพิภพ
ดังนั้นจึงต้องมีนางฟ้า นางสวรรค์มาอวพร ด้วยการโปรยดอกไม้ และถือเครื่องบรรณาการมาถวายเจ้าแห่งสวรรค์คือ ลัทธิเทวราชาที่พระเจ้ากัสยปะสถาปนาขึ้น มติมีนัยหนึ่งที่นักปราชญ์ทางศิลปะและประวัติศาสตร์ได้แสดงเอาไว้คือ รูปเขียนเหล่านี้เป็นภาพวิถีชีวิตของนางสนมกำนันในของพระเจ้ากัสยปะนั้นเอง เพราะดูจากการแต่งกายของนางกษัตริย์ในสมัยโบราณจะปล่อยหน้าอก ไม่สวมเสื้อผ้า เพราะถือว่าเป็นธรรมชาติของสตรีที่มีเรือนร่างสวยงาม สิ่งที่จะอวดโฉมโนมพรรณ ก็คือปทุมถันที่สวยงามที่สุดในเรือนกายของเธอนั่นเอง
แต่ใครจะตีความอย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ยังทึ่งในความสามารถของศิลปินโบราณ โดยเฉพาะความเพียรพยายามในการปีนป่ายหน้าผาเพื่อสร้างสรรค์งานศิลป์ชิ้นสำคัญของโลกนี้ไว้ให้เราได้ยลในวันนี้

เลียบหน้าผาผ่านประตูสวรรค์


ลงจากบันไดเวียน ซึ่งในปีนี้(กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐)มีการสร้างบันไดเพิ่มทางขึ้น-ลงเป็นวันเวย์โดยไม่ต้องรอคิวเวลาลงจากถ้ำภาพลพอชมภาพเสร็จแล้วก็ไปลงอีกบันไดหนึ่ง เพื่อที่จะไปชมสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ อีก คือ ลงไปยังกำแพงหินที่ขัดเงาเหมือนกระจกนั่นแหละ และที่จะต้องผ่าน คือประตูสวรรค์ด้วย เรียกว่า หงส์ทวาร เพื่อเลียนแบบเขาไกรลาส
พวกเราเดินเลาะไปตามกำแพงซึ่งก็เป็นทางเดินแคบ ๆ ต้องตั้งแถวเรียงหนึ่ง ถ้ามีคนเดินสวนทางลงมาก็ต้องหลบแอบหันหน้าเข้าหาหน้าผาตัวลีบเลย จึงจะผ่านกันได้ พอสุดกำแพงนี้ ก็ต้องปีนบันไดหินสูงชัน(โดยไม่มีราวให้เกาะ) ในช่วงนี้กว่า ๑๐๐ ขั้นที่เป็นขั้นบันไดปีนถึงหน้าผาชัน ถึง ๘๐ องศา ต้องรอคิวขึ้นอีก พลาดท่าเสียทีหล่นลงไป มีหวังพระท่านได้บังสุกุลแน่เรียกว่า เมื่อเสี่ยงตายกันตะกายขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูกันให้คุ้ม ขณะที่ต้องเดินตามบันไดเหล็ก ซึ่งเจาะหน้าผา เพื่อไปลานสิงหบาทที่เป็นลานใหญ่ก่อนขึ้นปราสาทที่ผู้สร้างประสงค์จะให้เป็นวิมานลอยฟ้า การเดินทางช่วงนี้เหมือนกับการไต่หน้าผาผจญภัย ลมแรงมาก จนจีวรพระปลิวสะบัด ภูเขาถูกแรงธรรมชาติกัดเซาะถึงกับเว้าเข้าไป ดังนั้นผู้เดินต้องระวัง แต่ก็ยังโชคดีตรงที่ทางบ้านเมืองก่อกำแพงหนาๆป้องกันลม นี่ถ้าไม่มีกำแพงกั้นเช่นนี้ก็คงยุ่งยากอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะพระเจ้าคุณเจ้าต้องจับล่างหนีบบนกันจ้าละหวั่น จะบรรยายให้เห็นภาพในช่วงนี้ค่อนข้างยาก

Monday, July 30, 2007

หลายมุมมองส่องลังกา : the face of Sri Lanka






ศรีลังกาในหลากหลายแง่มุมมอง
มีผู้ให้คำนิยาม ประเทศศรีลังกา ไว้หลายความหมายทั้งในแง่ของนักเดินทางท่องเที่ยว นักประวัติศาสตร์ นักการศาสนา และนักกวีนิพนธ์ ซึ่งได้มาพบเห็นเกิดความประทับใจในแง่มุมที่ตนเองชอบ บ้างก็ว่า ศรีลังกา คือ “เกาะสวรรค์บนพื้นพิภพ” เพราะมีความสวยงามในลักษณะของภูมิประเทศ และภูมิอากาศ ตลอดถึงผู้คนที่น่ารักเพราะถูกกล่อมเกลาด้วยธรรมะคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
บ้างก็ว่า “ศรีลังกา คือ ไข่มุกแห่งคาบสมุทรอินเดีย” เป็นดินแดนแห่งหาดทรายสวย สายลมเย็น แสงแดดจ้าที่นักท่องเที่ยวแถบยุโรป อเมริกาหนีหนาวมาพักผ่อนอาบแสงอาทิตย์ สูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับบริการแห่งความมีน้ำใจของเจ้าของประเทศจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
บ้างก็ว่า “ศรีลังกา คือ เมืองแห่งห้องเก็บมหาเจดีย์ที่มีเอกสารเป็นรูปแบบ เป็นพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนาที่คงหลักฐานปรากฏอยู่ทั่วประเทศ (พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก) หรือ จะเรียกว่าเป็นตู้คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้
และ ศรีลังกา เป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม และความมีน้ำใจของชาวเกาะ เป็นแดนสุขาวดี บนพื้นโลกที่ประพรมไปด้วยสีเขียวสดแห่งต้นไม้ และพืชพันธุ์ธัญญาหาร พร้อมทั้งกลิ่นหอมจรุงใจของเครื่องเทศ และแพรวพราวด้วยอัญมณีที่มีค่า จนมีเมืองชื่อว่า รัตนบุระ และมีนักกวีนิพนธ์ได้กล่าวถึงพื้นที่ของประเทศศรีลังกาเปรียบเหมือน หยดน้ำตาของสาวน้อย (ซึ่งเปรียบเปรยประเทศอินเดียเป็นใบหน้าของหญิงสาว) ซึ่งพื้นที่เกาะ หลุดออกไปจากผืนแผ่นดินใหญ่อนุทวีป คืออินเดียในปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่เกินความจริงที่จะเรียกชื่ออย่างนั้น เพราะสรรค์แห่งใหม่ของผู้ที่มีหัวใจรักธรรมชาติอยู่ที่นี่ และให้เกาะสรรค์แห่งนี้เป็นสื่อแห่งความสวยงามตามธรรมชาติกับมนุษยโลกในพื้นพิภพนี้
ในอดีตแม้จะมีผู้กล่าวถึงชาวพื้นเมืองของลังกาว่าเป็นพวก ยักษ์ พวกนาค และรากษส เป็นคนป่าคนเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม แถมยังกินเนื้อสด ๆ เป็นอาหาร มีบันทึกโบราณกล่าวถึงพวกคนป่าที่ชาวยุโรปเดินเรือมาถึงและได้พบเห็นวิถีชีวิตเขาเล่าว่า มีเรือสินค้าไปอับปาง ณ เกาะลังกาถูกพวกรากษสจับไปกินเป็นอาหารบ้างก็มี
แต่สภาพแห่งความเป็นจริงแล้ว ศรีลังกา ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และไม่ทำให้ท่านที่เดินทางมาเยือนผิดหวัง มีแต่ความประทับใจ ตรึงใจกลับไปทุกราย เมื่อกลับไปแล้วก็ถวิลหาอยากกลับมาอีก อย่างที่ไม่สามารถจะหาที่ไหนประทับใจเท่านี้อีกเลย

ทำไมถึงชื่อ ลังกา ? Why Sri Lanka






มารู้จักศรีลังกากันก่อน

ก่อนอื่นก็ขอเล่าประวัติกล่าวนามตามตำนานสิงหลก่อนว่า “ศรีลังกา” หรือ Ceylon ในภาษาอังกฤษนั้นมีความเป็นมาอย่างไร หลายท่านตั้งคำว่าถามว่า “ไปดูอะไรที่ศรีลังกาเมืองยักษ์ทศกัณฐ์ในเรื่องรามเกียรติ์นั้นหรอ โอ้ ก็น่าสนใจดีนะถ้ามีอะไรน่าชมเหมือนในตำนาน” ก็นี่แสดงว่าโยมท่านนั้นติดตามเรื่องราวในวรรณคดี อย่างน้อยก็ยังรู้ว่า ศรีลังกาอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ วรรณคดียอดฮิตของไทยที่เรารับมาจากอินเดีย และศรีลังกาเองก็รับเอาวัฒนธรรมของอินเดียอีกต่อหนึ่ง เพราะเจ้าชายวิชัย ผู้เป็นบรรพบุรุษของชาวสิงหล ก็มาจากอินเดียตอนใต้ (เอาไว้เล่าให้พิศดารตอนต่อไป)
ตอนนี้ขอเล่าเรื่อง ชื่อศรีลังกา ก่อน ถ้าว่าตามประวัติศาสตร์ประเทศต่าง ๆ ในโลก ประเทศศรีลังกาก็มีอายุเก่าแก่ประเทศหนึ่งเหมือนกัน ชื่อของประเทศก็มีการเรียกขานกันตามยุคต่าง ๆ กัน อย่างผู้ที่เคยเรียนภาษาบาลีมาสายวัดหรือ บรรดามหาเปรียญทั้งหลายก็จะรู้จักในนาม ตัมพปัณณิทวีป บ้าง ลังกาทวีป บ้าง หรือ สิงหลทวีป บ้าง ซึ่งมีปรากฎในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาพากย์ภาษาบาลี
ส่วนชาวยุโรป และชาวเอเชียด้วยกันที่เรียนภาษาอังกฤษ หรือ อ่านตำราของฝรั่ง(เศส) ฝรั่ง(อังกฤษ) ก็จะรู้จักในนาม SEALAND หรือชาวทะเล “ชาวเล” เหมือนที่เรียกชาวภาคใต้ในบ้านเราซึ่งก็ถูกทีเดียวเพราะประเทศนี้เป็นเกาะล้อมรอบไปด้วยทะเล มหาสมุทร ซึ่งคำว่า ซีแลนด์นี้ เรียกกันไปเรียกกันมาก็เพี้ยนมาเป็น ซีลอน (Ceylon)
เอาหละค้นต่อไปในคัมภีร์ทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า คัมภีร์ศาสนวงศ์ มีประวัติตามคัมภีร์ว่าในสมัยพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ชื่อของลังกานี้ก็ไม่เหมือนกันอีก เช่นในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้ากกุสันโธ มีชื่อว่า “โอชทวีป” ในสมัย พระโกนาคมนะ มีชื่อว่า “วรทวีป” และในสมัย พระกัสปะพุทธเจ้า มีชื่อว่า “มัณฑทีปะ” เป็นต้น แต่ชาวกรีก กับพวกโรมัน เรียกเกาะลังกานี้ว่า “แท็ปโพเบรน” (Taprobane) ซึ่งเพี้ยนมาจาก ตัมพปัณณิ แปลว่า “เกาะแห่งคนฝ่ามือแดง” (ฝ่ามือแดงอย่างไรเอาไว้คุยกันต่อในบทต่อไป)
ชื่อ ซีลอน ที่เรารู้จักอย่างเป็นทางการนี่ก็เรียกขานกันมาจนกระทั่งสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ พอได้รับเอกราชก็ประกาศชื่อประเทศใหม่ ว่า “ศรีลังกา” ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ แต่เราก็เรียกว่า ลังกา มาตลอดตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว ที่เรารู้จักประเทศนี้ เพราะเรารับพระพุทธศาสนาลัทธิ “ลังกาวงศ์” จากประเทศศรีลังกานี้เอง

สัมผัสแดนพุทธศาสนา ๒,๓๐๐ ปี






บันทึกการเดินทางไปนมัสการพระธาตุเขึ้ยวแก้วและทัศนศึกษา ณ ประเทศศรีลังกา
ระหว่างวันที่ 21 - 28 กุมภาพันธ์ 2550

เหิรฟ้ามาไกล จากกรุงเทพ ฯ สู่โคลัมโบ
วันนี้ตื่นนอนแต่เช้าทำภารกิจส่วนตัวแล้วก็เตรียมจัดกระเป๋าสิ่งของต่าง ๆ ที่จะติดตัวไปในการจาริกบุญสู่ประเทศศรีลังกา รู้สึกมีความภาคภูมิใจ เพราะว่าได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้า ผู้จัดรายการถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระเทพกิตติโสภณ ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา และนำญาติโยมจากมหานครนิวยอร์ค เดลแวร์ นิวเจอร์ซี่ และแมรี่แลนด์ พร้อมทั้งญาติโยมจากประเทศไทยด้วย รวมทั้งพระสงฆ์ และฆราวาส ๓๕ รูป/ชีวิต
ในตอนเช้าของวันนี้ได้โทรศัพท์นัดเวลาประมาณ ๔ โมงเย็นพร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่พอประมาณเที่ยงวัน ท่านพระธัมมานันทะ (Ven. Dhammanadha) พระจากประเทศศรีลังกามาศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ช่วยทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเรื่องตัวเครื่องบิน ได้รับโทรศัพท์จากผู้จัดการศรีลังกาแอร์ไลน์ บอกว่าเครื่องดีเลย์ ๒ ชั่วโมง เพราะสภาพอากาศที่นครปักกิ่ง มีหิมะตกหนักเครื่องบินจะมาถึงกรุงเทพฯ ช้ากว่าปรกติ
จะทำอย่างไรดี จะโทรศัพท์บอกลูกทัวร์อีกทีก็ไม่ทันบางท่านเดินทางมาจากต่างจังหวัด บางท่านต้องออกจากบ้านแต่เช้า ก็เลยต้องมารอที่สนามบินตั้งแต่ ๔ โมงเย็นตามกำหนดเดิม แต่ก็ไม่เป็นไร มองในแง่ดีทำใจให้เป็นบุญกุศล ก็คือคณะเราจะได้มีเวลาที่จะเช็คอินได้อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องรีบร้อน
เวลาประมาณ ๖ โมงเย็นเมื่อทุกคนมาพร้อมกันอย่างเรียบร้อยได้แจกกำหนดการเดินทาง หนังสือสวดมนต์ เพื่อใช้ตลอดเส้นทางในการนมัสการสถานที่สำคัญในเมืองต่าง ๆ และป้ายติดกระเป๋าคนละป้ายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเช็คอิน-เช็คเอาท์ เสร็จแล้วได้เข้าเช็คอินที่เคาน์เตอร์ศรีลังกาแอร์ไลน์ โดยการชั่งน้ำหนักรวมทั้งพระพุทธรูป ๒ องค์ และกระเป๋าจำนวน ๓๖ ชิ้น ทุกอย่างเรียบร้อย แล้วเจ้าหน้าที่สายการบินได้แจกคูปองสำหรับรับประทานอาหารเย็น เพราะว่าเครื่องบินดีเลย์ประมาณ ๔ ชั่วโมง ให้ญาติโยมไปเลือกรับประทานอาหารตามอัธยาศัยในเวลารอก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองขาออกแล้ว คณะได้ไปรอขึ้นเครื่องบินที่ประตูทางออกบี ๔ (B4)
ตอนนี้แหละทุกคนบ่นกันอึดเลยเพราะต้องเดินไกลเป็นกิโลเมตรพอเดินไปถึงหน้าประตูขึ้นเครื่องบิน เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่เปิดให้เข้าไปนั่งรอ บอกว่ายังไม่ถึงเวลาต้องให้เที่ยวบินอื่นเขาใช้ไปก่อน ต้องนั่งรอบนพื้นตามทางเดิน อนิจจา..น่าสงสารตัวเองและคณะซึ่งล้วนแล้วแต่มีผู้สูงวัยเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องทำใจ ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนก่อนจะไปบำเพ็ญบุญ
เวลา 22:55 น.เครื่องบินของสายการบินศรีลังกาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ UL 899 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมุ่งหน้าสู่กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา
พอเครื่องบินปรับระดับเพดานบินเข้าที่แล้วแอร์โฮสเตทได้นำอาหารและเครื่องดื่มมาบริการ ซึ่งของพระคุณเจ้านั้นมีเนยใส เนยเข้น นำผึ้ง น้ำส้มและน้ำชากาแฟ เลือกฉันได้ตามอัธยาศัย ส่วนญาติโยมก็มีอาหารศรีลังกันเสิร์ฟ กลิ่นโชยมา ไม่ต่างจากอาหารอินเดียสักเท่าไร พอเครื่องบินบินข้ามมหาสมุทธอินเดียมีความรู้สึกว่าเหมือนนอนเปล เพราะเครื่องจะตกหลุมอากาศบ่อย เลยเป็นเครื่องกล่อมให้หลับอย่างดี ในสถานการณ์เช่นนี้หลับเท่านั้นที่พอจะทำได้
มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งเมื่อพนักงานเตือนให้รัดเข็มขัดเพราะเครื่องจะร่อนลงสู่สนามบินนานาชาติ โคลัมโบ กัตตุนายเก อีกประมาณ ๒๐ นาที ตื่นจากภวังค์ตั้งสติเตรียมแตะแผ่นดินแห่งกรุงลงกาในตำนาน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องในตำนาน แต่เป็นเรื่องจริงที่กำลังเผชิญอยู่เฉพาะหน้า

สัมผัสดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา
เครื่องบินได้ร่อนลงแตะรันเวย์ของสนามบิน โคลัมโบ กัตตุนายเก สนามบินพาณิชย์แห่งเดียวของศรีลังกาตามเวลาท้องถิ่นประมาณ ตี ๑ กับ ๒๕ นาที เดินทางถึงท่าอากาศยานกรุงโคลัมโบ ใช้เวลา ๓ ชั่วโมงกับ ๒๕ นาที สนามบินแห่งนี้ไม่ใหญ่โตเหมือนที่อื่นที่เคยไปสัมผัสมาตัวอาคารที่ทำการสนามบินก็กระทัดรัดเหมาะสมกับสภาพเกาะ และพื้นที่ใช้สอยก็กำลังพอดี
ก้าวแรกที่สัมผัสแดนแดนพุทธศาสนา ๒,๓๐๐ กว่าปี คือความอบอุ่นใจที่ได้มาเมืองชาวพุทธ ไม่ใช่แต่เป็นเพียงประวัติศาสตร์ หรือตำนานในหนังสือเท่านั้น แต่ยังคงความเป็นพุทธทุกกระเบียดนิ้ว เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่สนามบินก็จะมองเห็นพระพุทธรูปปางสมาธิสีขาวประดิษฐานอยู่บนแท่นตั้งไว้กลางห้องโถงที่จะเข้าสู่สถานที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งทุกคนจะต้องเดินผ่านตรงนั้นก่อนที่จะเข้าไปผ่านเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง นี่คือบ่งบอกถึงสัญลักษณ์ในทางพระพุทธศาสนา และความเป็นชาวพุทธของศรีลังกา ก็ยังปรากฎให้เห็นในรูปแบบของการแต่งกายสีขาว และที่หน้าแท่นพระพุทธรูปองค์นี้ก็ยังมีดอกไม้สดสีขาวส่งกลิ่นหอมฟุ้งเมื่อเดินเข้าใกล้ แสดงว่ามีการนำดอกไม้มาบูชาพระเป็นประจำ พวกเราชาวพุทธด้วยกันที่เดินทางมาถึงเห็นแล้วก็อดยกมือไหว้ไม่ได้ ต่างคนก็ได้น้อมไหว้นมัสการด้วยความเคารพนบน้อม และรู้สึกอบอุ่นใจในการต้อนรับของเจ้าของประเทศเช่นนี้
ผ่านพิธีตรวจค้นเข้าเมืองแล้วก็ออกมารับกระเป๋าและสัมภาระต่าง ๆ ที่นำไปมีพระพุทธรูป ๒ องค์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายศุลกากรทำท่าจะเก็บภาษี แต่ด้วยความใจบุญของนักธุรกิจศรีลังกาที่เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกันกับพวกเราได้ออกค่าใช้จ่ายให้ ซึ่งก็ไม่มากมายอะไรนักแต่มากด้วยน้ำใจ เป็นเงินศรีลังกา ๑,๗๐๐ รูปี ขออนุโมทนาในบุญกุศลแด่นักธรกิจท่านนั้น ณ ที่นี้ด้วย เมื่อพ้นเขตตรวจกระเป๋าของฝ่ายศุลกากร แล้วทุกคนต่างก็เตรียมแลกเงิน เพื่อที่จะเอาไว้ใช้จ่ายและทำบุญในระหว่างการเดินทาง อัตราวันนี้ ๑ เหรียญดอลล่าห์ เท่ากับ ๑๑๐ รูปี ทุกคนต่างยิ้มย่องผ่องใสพกเงินรูปีกันเต็มกระเป๋าพร้อมที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้
เดินออกมาถึงด้านหน้าของอาคารรับผู้โดยสารขาเข้า คุณ Sham ผู้นำทัวร์ตัวแทนจากบริษัท Yolyash, มารับไปขึ้นรถบัสปรับอากาศขนาด ๔๕ ที่นั่งซึ่งจอดรอรับอยู่แล้ว เมื่อขนกระเป๋าขึ้นรถเรียบร้อย สมาชิกนั่งบนรถพร้อมหน้า อาตมา(พระมหาถนัด อตฺถจารี) ในฐานะผู้นำคณะจาริกแสวงบุญ ได้จับไมค์ทักทายเป็นภาษาสิงหล “อายุบวร แปลว่า สวัสดี “ กล่าวต้อนรับเข้าสู่ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ๒,๓๐๐ ปี เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ได้จัดคณะมาจาริก แสวงบุญในครั้งนี้ ด้วยต้นศรัทธา คือ คุณณรงค์ศักดิ์ คุณรันตนา โชติกเวชกุล ได้เดินทางมาศรีลังกาเมื่อปีที่แล้ว ได้ไปกราบพระพุทธรูปใหญ่ที่เมืองแคนดี้ เกิดมีศรัทธาเลื่อมใสอยากจะถวายพระพุทธรูปแบบไทยไว้ภายในองค์พระประธานใหญ่นั้น จึงได้แจ้งความจำนงแก่เจ้าอาวาสจะนำพระพุทธรูปมาถวาย เพื่อจัดแสดงเป็นห้องพิพิธภัณฑ์
การเดินทางมาครั้งนี้ได้นิมนต์พระเดชพระคุณ พระเทพกิตติโลภณ ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา วัดวชิรธรรมปทีป นครนิวยอร์ค เป็นประธาน และมีประสงฆ์อีก ๗ รูป มีฆราวาส ๒๗ คน มาจากรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา และจากประเทศไทย

Sunday, June 3, 2007

Amazing Sri Lanka


The founder of Suwannamalika stupa

Mahintalay stupa

The Great Mahintalay stupa

Suwannamalika Stupa

สัมผัสเกาะงามเหมือนมรกตที่หยดอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย นำนมัสการ พระธาตุเขี้ยวแก้ว อันศักดิ์สิทธิ์ และต้นพระศรีมหาโพธิ์ อายุยืนที่สุดในโลกปลูกโดยพระภิกษุณีสังฆมิตตา พระธิดาพระเจ้าอโศกมหาราช อายุ ๒,๓๐๐ ปี ย้อนรอยอดีตกับนครหลวงแห่งแรกของเกาะสิงหล อนุราธปุระ ชิมชารสเลิศของโลกพักบนยอดเขาในไร่ชาด้วยบรรยาศน่าประทับใจ ช้อปปิ้งอัญมณีศรีลังกาที่มีชื่อก้องโลก
ท่านจะได้ชม
โคลัมโบ เมืองหลวงปัจจุบัน-วัดคงคาราม ชมวิหารกลางน้ำ
• วัดกัลยาณีวิหาร นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระสถูปเจดีย์ใหญ่ที่สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานที่พระพุทธองค์เคยเสด็จมาประทับด้วยพระองค์เอง
อนุราธปุระ เมืองหลวงแห่งแรก นมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งนำกิ่งจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธองค์ประทับตรัสรู้ที่พุทธคยา มาปลูกโดยพระภิกษุณีสังฆมิตตา ณ สวนเมฆวัน ของพระเจ้า เทวานัมปิยติสสะ อายุประมาณ ๒,๓๐๐ กว่าปีมาแล้ว
โปโลนารุวะ เมืองหลวงแห่งที่ ๒ ของศรีลังกา ชมวัดกัลวิหาร ที่มีพระพุทธรูปสลักจากหินผาน่าอัศจรรย์ และพระไตรปิฎกฉบับหินผา และพระราชวังพระเจ้าปรักมพาหุมหาราช ผู้อุปถัมภ์การทำสังคายนา
สิกิริยา เมืองปราการบนยอดเขาของพระเจ้ากัสยปะ พยายามชลอสรรค์ลงมาสู่พื้นพิภพ หรือพระราชวังลอยฟ้าน่าอัศจรรย์
• ภาพเขียนสีปูนเปียกนางอัปสรบนหน้าผาสูงชัน อายุพันกว่าปี สียังสดใสงดงามราวกับจำลองนางสวรรค์บนพื้นพิภพ
แคนดี้ ชมเมืองหลวงแห่งที่ ๓ คือ สิริวัฒนานคร ชมทิวทัศน์บนยอดเขามองลงมาเห็นทะเลสาบที่ทอดยาวกว้างใหญ่ ขุดโดยน้ำมือของมนุษย์
• วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว นมัสการพระทันตธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์(ฟันของพระพุทธเจ้า)
• วัดอัสคิริยา ที่พระอุบาลี จากกรุงศรีอยุธยา เคยเป็นพระอุปัชฌาย์บวชพระภิกษุชาวสิงหล จนเกิดนิกายสยามวงศ์มาจนทุกวันนี้
นอราเลีย ชมสวนสีดา สวนแห่งวรรณคดี ซึ่งทศกัณฐ์นำนางสีดา มากักขังไว้พบกับรรยากาศอันสดชื่น งดงามเขียวชอุ่มด้วยไร่ชา บนยอดเขาสูง ๗,๐๐๐ ฟุต อันเป็นที่พักตากอากาศอันสวยงาม และมีชื่อเสียงที่สุดในเอเชีย.
ติดต่อได้ที่ พระมหาถนัด อตฺถจารี วัดไทยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 13440 Layhill Rd. Silver Spring, MD 20906 Tel. (301) 871-8660-1, 240-464 7091
Fax.301-871-5007,E-mail:t_inthisan@hotmail.com, t_inthisan@rediffmail.com

Program of the Pilgrimage tour to Sri Lanka

Day 01 Airport/Negombo (21 February, 2007)
Arrive at the Colombo Airport and transfer to
Negombo. Stay overnight at the DOLPHIN RESORT,
( 4 1/2 star ++) the best hotel in Negombo.
Negombo is located close to the Airport and is a
Sea-side resort area. The drive time from the airport to
Negombo is about 35 minutes. The Hotel is located
right on the beach and we have reserved the Deluxe
rooms in the main building, facing the Indian Ocean.

Day 02 Negombo/Anuradhapura (22 February, 2007)
After breakfast we will leave for Anuradhapura. Lunch will
be served before 11.30 a.m. After lunch, we visit Mihintale,
then return to Anuradhapura to visit the Swarnamali Chaitiya,
Thuparama, and the Mirisawetiya Dagoba
(all of which were built during the 2nd Century AD).
Later in the evening we visit the " Jaya Sri Maha Bodhi"
tree, the worlds oldest documented tree which is over
2,500 years old. This is a sapling of the same Bo Tree
under which the Lord Buddha attained Enlightenment.
Dinner and an overnight stay will take place at the PALM
GARDEN VILLAGE HOTEL ( 4 star).


Anuradhapura is the 1st Capital of the Island serving as capital from
the 4th to the11th Century AD. The drive time to Anuradhapura
from Negombo is around 3 1/2 hours (including stops).

Day 03 Anuradhapura/Aukana/Dambulla (23 February, 2007)
After breakfast, we leave for Aukana. The drive time
to Aukana from Anuradhapura is about 1 hour and 30 minutes.
The Aukana Buddha statue is 13 meters
in height and was built by King Datusena in the 5th
century.

Lunch will be served at a restaurant in Dambulla before 11.30.
After lunch, we visit the Dambulla Cave Temples of the
1st century AD. We will see paintings on the walls dating
back to the 1st century and also hundreds of Statues of
the Lord Buddha in 04 caves.
Next, we proceed to the KANDALAMA HOTEL for dinner and
an overnight stay (5 star)

Day 04 Dambulla/Matale/Kandy (24 February, 2007)
After breakfast we leave for Matale.
The drive time is about 1 hour and 30 minutes.
We will visit the Alu Vihare, the 2nd Century Cave
Temple and continue to Kandy for lunch.
After lunch, we visit the Royal Botanic Gardens and the
Market area.
Kandy was the last Kingdom of the Sri Lankan Kings
before it was handed over to the British by treaty
on the 15th march 1815.
Kandy is one of the most picturesque cities on the
Island - located on the foothills of the high rise
Mountain range. It is the most holy city in Sri Lanka,
as it holds the Sacred Tooth Relic of the Lord Buddha
at the Temple of the Tooth Relic. The Sacred Tooth Relic was
brought to Kandy in 1590.
Dinner and an overnight stay will be provided at the MAHAWELI
REACH HOTEL (5 stars)

Day 05 Kandy (25 February, 2007)
We will have Breakfast at Hotel. Then we visit both Maha Nayaka's,
Visit the Temple of the Tooth Relic of the Lord Buddha. We will make offerings at the Buddha statue. We will have lunch at a Restaurant.
Dinner and an overnight stay will be provided at the MAHAWELI
REACH HOTEL.

Day 06 Kandy/Nuwara Eliya (26 February, 2007)
After breakfast, we leave for Nuwara Eliya.
The drive time to Nuwara Eliya is about 3 1/2 hours
(with stops).
Nuwara Eliya is located 2,200 meters above the
sea level and the drive is breathtaking with beautiful
Mountain scenery, water falls and a tea plantation.
The climate in Nuwara Eliya is cool during this time
of year and it drops down to about 09 degrees at night.
We visit the Tea Factory/Estate and water falls.
We will have lunch at a Restaurant.
When we arrive at Nuwara Eliya and visit the city,
dinner and an overnight stay will be provided at the
GRAND HOTEL.
Day 07 Nuwara Eliya/ /Colombo (27 February, 2007)

After breakfast we leave for Colombo via Avissawella
The drive time from Bandarawela is about 3hours (with
stops). We will make offerings to the Buddha statue at Balangoda.
Lunch will be served at a restaurant.
Then we drive to Colombo. The drive time about 2 1/2 hours.
There will be a ceremony involving making offerings to the Buddha statue.
Dinner and an overnight stay will be at the TAJ SAMUDRA HOTEL
(5 star)
Day 08 Colombo/Airport (28 February, 2007)
After breakfast, we travel to the airport.
The drive time to the airport is about 1 hour and 15 minutes.