



ลานสิงหบาท
พอผ่านบันไดหินขั้นสุดท้ายก็เป็นลานขนาดกว้างพอนั่งพักได้สบาย หายเหนื่อยเลยทีเดียวพอมาถึงชั้นนี้แล้ว เป็นการเรียกกำลังใจกลับมาเพราะนี่มาถึงประตูสวรรค์จริง ๆ แล้ว ก่อนที่จะขึ้นยอดเขาเพื่อไปชมวิมานของพระอินทร์ คือปราสาทราชมณเฑียรของพระเจ้ากัสยปะนั้นเอง
แต่ก่อนจะผ่านประตูนี้ ก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเหลือบไปเห็นเท้าสิงห์ที่สลักจากหินใหญ่โตมาก เล็บแต่ละเล็บยาวถึง ๗ – ๘ ฟุต หลายท่านคงจะนึกออกถ้ากล่าวถึงรูปสฟิงซ์ที่หน้าปีรามิดในอียิปต์ คือรูปแกะสลักสิงโตขนาดใหญ่ที่มีหน้าเป็นคน แต่สิงโตที่ลานสิงหบาทนี้คงเหลือให้เห็นแต่เท้ากับกรงเล็บที่แหลมคมน่าเกรงขาม คติความเชื่อที่สร้างรูปนี้ขึ้นมาไม่ทราบว่าใครเลียนแบบใคร แต่ถ้าว่าตามประวัติศาสตร์แล้วอียิปต์ย่อมมาก่อนแน่ แต่ไอเดียนี้พระเจ้ากัสยปะคงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองอียิปต์แล้วเก็บเอาสร้างที่นี่แน่ แต่บังเอิญว่าแนวความคิดมันมาตรงกันเท่านั้น เพราะยุคสมัยห่างกันมาก และอีกอย่างสื่อเทคโนโลยีไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่เราติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องเตินทางไปด้วยตนเอง
แต่ที่มาของรูปปั้นสิงโตนี้ได้มาจากชื่อของภูเขาลูกนี้ซึ่งมีชื่อว่า “สิงหบรรพต” ก็คือภูเขารูปสิงห์ มองจากจุดนี้ จะเห็นภูเขาทั้งลูกเป็นรูปสิงห์หมอบ ระหว่างเท้าสิงห์มีบันไดที่แกะลึกลงไปในหิน เพื่อปีนขึ้นไปถึงยอด ซึ่งหน้าผาชันประมาณ ๗๐ – ๘๐ องศา มีบันไดซึ่งทำด้วยการสกัดหินเป็นขั้นๆ และรั้วเหล็ก พร้อมด้วยราวสำหรับจับ กว่าจะขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นบนสุดก็ต้องไต่บันไดขึ้นไปอีกกว่า ๑๐๐ ขั้น
มีหลายท่านเมื่อเดินทางขึ้นมาถึงลานสิงหบาทแล้วขอพักเหนื่อยก่อน และให้พวก ๆ เดินทางไต่หน้าผาขึ้นไปก่อน เพราะว่ามันเป็นการเสียงอันตรายมากเกินไป ในช่วงไต่บันไดเหล็กจากประตูเท้าสิงห์ขึ้นไปถึงลานพระราชวังนี้จะต้องใจกล้าเต็มร้อย คือจะต้องเป็นโรคไม่กลัวความสูง และมีกำลังแข็งขาดีพอสมควรในการพาสังขารขึ้นสู่ที่สูงจากแรงโน้มถ่วงของโลก
ลานสิงหบาทนี้จึงเป็นฉากถ่ายรูปของบรรดานักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึง และเป็นข้ออ้างที่จะไม่ปีนหน้าผาต่อ โดยจะขอถ่ายรูปหน้าเท้าสิงห์ที่ผงาดอยู่ในท่าหมอบครึ่งตัว แต่ไม่มีหัว มีแต่เท้าและกรงเล็บยื่นออกมา ประหนึ่งว่าพญาราชสีห์ปรากฏตัวออกจากเหลี่ยมเขา อ้าปากกว้างเป็นทางเสด็จผ่านทุกๆวันของพระราชาผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์บนพื้นพิภพนี้
เมื่อก่อนนั้น ลานสิงหบาทแห่งนี้สร้างไว้เป็นลานที่พักของบรรดาข้าหลวง หรือ ข้ารับใช้ใกล้ชิดของพระเจ้ากัสยปะและมเหสี ยามค่ำคืนจะเสด็จขึ้นไปประทับบนปราสาทตามลำพัง ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปด้วย จะต้องรอรับใช้อยู่ลานสิงหบาทนี้ เท่านั้น
No comments:
Post a Comment