Wednesday, January 16, 2008

Srigiriya : The Heaven on Earth




นางอัปสรสวรรค์ ที่หน้าผา สิกิริยา






หลังจากที่รอขึ้นบันไดเวียนเป็นก้นหอยเพื่อที่ยลโฉมนางอัปสรทั้งหลายบนหน้าผาสูงชัน และแล้วความฝันของหลาย ๆ คนก็เป็นจริง คือได้ไปยืนอยู่บนหน้าผาที่เป็นเพิงถ้ำพอเป็นที่กันแดดและฝนทำให้ภาพประวัติศาสตร์เหล่านั้นไม่ลบเลือนไปตามกาลเวลาอันควร บวกกับเทคนิคการเขียนภาพแบบเฟรสโกซึ่งได้อธิบายไปแล้วนั้นด้วย จึงทำให้หลาย ๆ ท่านตกตลึงกับภาพของความงดงามด้านศิลปะทางสรีระของหญิสาวซึ่งนักประวัติศาสตร์หลายท่านตีความว่าเป็นนางฟ้า หรือนางอัปสรสวรรค์ เพราะว่าผู้ที่สร้างพระราชวังนี้ต้องการที่จะชลอสวรรค์มาไว้บนพื้นพิภพ
ดังนั้นจึงต้องมีนางฟ้า นางสวรรค์มาอวพร ด้วยการโปรยดอกไม้ และถือเครื่องบรรณาการมาถวายเจ้าแห่งสวรรค์คือ ลัทธิเทวราชาที่พระเจ้ากัสยปะสถาปนาขึ้น มติมีนัยหนึ่งที่นักปราชญ์ทางศิลปะและประวัติศาสตร์ได้แสดงเอาไว้คือ รูปเขียนเหล่านี้เป็นภาพวิถีชีวิตของนางสนมกำนันในของพระเจ้ากัสยปะนั้นเอง เพราะดูจากการแต่งกายของนางกษัตริย์ในสมัยโบราณจะปล่อยหน้าอก ไม่สวมเสื้อผ้า เพราะถือว่าเป็นธรรมชาติของสตรีที่มีเรือนร่างสวยงาม สิ่งที่จะอวดโฉมโนมพรรณ ก็คือปทุมถันที่สวยงามที่สุดในเรือนกายของเธอนั่นเอง
แต่ใครจะตีความอย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ยังทึ่งในความสามารถของศิลปินโบราณ โดยเฉพาะความเพียรพยายามในการปีนป่ายหน้าผาเพื่อสร้างสรรค์งานศิลป์ชิ้นสำคัญของโลกนี้ไว้ให้เราได้ยลในวันนี้

เลียบหน้าผาผ่านประตูสวรรค์


ลงจากบันไดเวียน ซึ่งในปีนี้(กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐)มีการสร้างบันไดเพิ่มทางขึ้น-ลงเป็นวันเวย์โดยไม่ต้องรอคิวเวลาลงจากถ้ำภาพลพอชมภาพเสร็จแล้วก็ไปลงอีกบันไดหนึ่ง เพื่อที่จะไปชมสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ อีก คือ ลงไปยังกำแพงหินที่ขัดเงาเหมือนกระจกนั่นแหละ และที่จะต้องผ่าน คือประตูสวรรค์ด้วย เรียกว่า หงส์ทวาร เพื่อเลียนแบบเขาไกรลาส
พวกเราเดินเลาะไปตามกำแพงซึ่งก็เป็นทางเดินแคบ ๆ ต้องตั้งแถวเรียงหนึ่ง ถ้ามีคนเดินสวนทางลงมาก็ต้องหลบแอบหันหน้าเข้าหาหน้าผาตัวลีบเลย จึงจะผ่านกันได้ พอสุดกำแพงนี้ ก็ต้องปีนบันไดหินสูงชัน(โดยไม่มีราวให้เกาะ) ในช่วงนี้กว่า ๑๐๐ ขั้นที่เป็นขั้นบันไดปีนถึงหน้าผาชัน ถึง ๘๐ องศา ต้องรอคิวขึ้นอีก พลาดท่าเสียทีหล่นลงไป มีหวังพระท่านได้บังสุกุลแน่เรียกว่า เมื่อเสี่ยงตายกันตะกายขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูกันให้คุ้ม ขณะที่ต้องเดินตามบันไดเหล็ก ซึ่งเจาะหน้าผา เพื่อไปลานสิงหบาทที่เป็นลานใหญ่ก่อนขึ้นปราสาทที่ผู้สร้างประสงค์จะให้เป็นวิมานลอยฟ้า การเดินทางช่วงนี้เหมือนกับการไต่หน้าผาผจญภัย ลมแรงมาก จนจีวรพระปลิวสะบัด ภูเขาถูกแรงธรรมชาติกัดเซาะถึงกับเว้าเข้าไป ดังนั้นผู้เดินต้องระวัง แต่ก็ยังโชคดีตรงที่ทางบ้านเมืองก่อกำแพงหนาๆป้องกันลม นี่ถ้าไม่มีกำแพงกั้นเช่นนี้ก็คงยุ่งยากอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะพระเจ้าคุณเจ้าต้องจับล่างหนีบบนกันจ้าละหวั่น จะบรรยายให้เห็นภาพในช่วงนี้ค่อนข้างยาก

No comments: