Buddha tooth Relics
Mahintalay near Anurathpura

The City of Kandy

The Aukana Buddha statue

ความรู้เรื่อง “พระบรมสารีริกธาตุ”
คำว่า พระบรมสารีริกธาตุ หมายถึงกระดูกของพระพุทธเจ้า คำว่า “พระธาตุ” หมายถึง กระดูก หรือ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผู้ที่บรรลุธรรม มีจิตใจที่บริสุทธิ์ หมดกิเลส เป็นพระอรหันต์ ซึ่งเหลือจากการถูกเผา บางทีเรียกว่า อรหันต์ธาตุ มีทั้งพระสาวก และสาวิกาของพระพุทธเจ้า รวมถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า และอุบาสก อุบาสิกาผู้บรรลุพระอรหันต์ด้วย
พระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ ตรงกับคำภาษาอังกฤษ ว่า Relic ซึ่งตรงกับภาษาลาติว่า “Reliquiae” แปลว่าส่วนที่เหลืออยู่ (Remains) ชนเผ่าทั้งหลายในอดีตนิยมเก็บกระดูกคนไว้ และถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประเพณีนิยมในทางพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ไหน นับตั้งแต่พระพุทธเจ้านามว่าทีปังกร มาจนถึงพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม การเก็บอัฐิ หรือ พระบรมสารีริกธาตุ พระสารีริกธาตุ หรือ แม้แต่พระธาตุ ไว้สักการบูชาก็มีปรากฎให้เห็นโดยทั่วไป
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้ว มี ๔ ประเภทด้วยกันคือ
๑. ธาตุเจดีย์ คือ พระบรมสารีริกธาตุ
๒. บริโภคเจดีย์ คือ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล
๓. ธรรมเจดีย์ คือ จารึกข้อพระธรรม
๔. อุเทสิกเจดีย์ คือ สัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า เช่น ตราธรรมจักร พระพุทธรูป รอยพระบาท พระแท่นวัชรอาสน์ เป็นต้น
พระบรมสารีริกธาตุ มี ๒ ประเภท
๑. พระบรมสารีริกธาตุที่ไม่แตกกระจาย มี ๗ ส่วน คือ พระเขี้ยวแก้ว ๔ องค์ พระรากขวัญ ๒ องค์ พระอุณหิส หรือส่วนพระนลาฎ ๑ องค์ คำว่า “ ไม่แตกกระจาย” หมายถึงยังความเป็นรูปร่าง เป็นแท่ง หรือ เป็นกลุ่มก้อนสมบูรณ์ ไม่มีส่วนไหนหักบิ่นไป คือ ธาตุไฟไม่สามารถไหม้ให้เปลี่ยนแปรไปได้ขณะร่างกายถูกเผา
๒. พระบรมสารีริกธาตุที่แตกกระจาย คือส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจาก ๗ ส่วนที่กล่าวแล้วนั้น จะมีรูปพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันออกไป เช่นขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหัก และบ้างมีขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลือง กล่าวคือ เป็นพระธาตุที่เหลือจากที่ศพถูกเผา หรือ ได้ถวายพระเพลิงแล้ว ยังคงเหลือสภาพที่จะต้องเก็บไว้สักการบูชา
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระสมณโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยมีการแบ่งไปประดิษฐานในนานาประเทศ ได้มีการสร้างพระสถูปบรรจุไว้ รวมทั้งสิ้น ๘ แห่ง คือ
๑. พวกเจ้าลิจฉวี ทรงสร้างสถูปบรรจุที่กรุงเวสาลี
๒. พวกเจ้าศากยะ ทรงสร้างสถูปบรรจุที่กรุงกบิลพัสดุ์
๓. พวกเจ้าถูลี ทรงสร้างสถูปบรรจุที่เมืองอัลลกัปปะ
๔. พวกเจ้าโกลิยะ ทรงสร้างสถูปบรรจุที่เมืองรามคาม
๕. พวกเจ้ามัลละแห่งเมืองปาวา ทรงสร้างสถูปบรรจุที่เมืองปาวา
๖. พวกเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินารา ทรงสร้างสถูปบรรจุที่กรุงกุสินารา
๗. พระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ทรงสร้างสถูปบรรจุที่กรุงราชคฤห์
๘. มหาพราหมณ์ สร้างสถูปบรรจุไว้ที่เมืองเวฎฐทีกะ
ส่วนพวกเจ้าโมริยะ ได้ทราบข่าวปรินิพพานภายหลังได้ส่งทูตมาขอส่วนแบ่ง แต่ไว้แค่พระอังคาร(เถ้าถ่าน) นำไปสร้างสถูปบรรจุพระอังคารสถูป ที่เมืองปิปผลิลัน ส่วนโทณพราหมณ์ผู้ใช้ทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุแบ่งแก่กษัตริย์ทั้งหลาย ได้สร้างสถูปบรรจุทะนานไว้ที่เมืองกุสินารา เรียกว่า “ตุมพสถูป” ยังคงมีหลักฐานปรากฎเท่าทุกวันนี้
พระบรมสารีริกธาตุกระจายไปสู่ประเทศต่าง ๆได้อย่างไร
ลุถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๑๘ ทรงเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาโดยได้ฟังธรรมจากนิโครธสามเณร และต่อมาได้อุปถัมภ์การทำสังคายนาครั้งที่ ๓ โดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เป็นประธาน และได้นำพระองค์เสด็จธรรมยาตราจาริกกราบไหว้พุทธสถานที่สำคัญ ได้พบพระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในที่ต่าง ๆ ที่เสด็จไปถึง หลังจากนั้นพระองค์ได้สร้างอาราม (วัด) จำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ แห่งเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มั่นคง ทรงรับสั่งให้สร้างพระสถูป ๘๔,๐๐๐ องค์ บรรจุพระบรมสาริริกธาตุประดิษฐานไว้ในที่ต่าง ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักรของพระองค์ สันนิษฐานว่า แม้ในคราวส่งสมณทูต ๙ สาย ออกไปประกาศพระพุทธศาสนายังที่ต่าง ๆ ได้ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปด้วยทุกสาย ทำให้พระบรมสารีริกธาตุกระจายไปสู่นานาประเทศตั้งแต่บัดนั้นเป็นมา รวมทั้งประเทศไทยซึ่งเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ ที่พระธรรมทูตสายที่ ๘ คือ พระโสณะ พระอุตตระ เดินทางมาถึง ได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงในดินแดนส่วนนี้ โดยมีพระมหาธาตุเจดีย์ที่นครศรีธรรมราช และพระปฐมเจดีย์ ตามหลักฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสาริกริกธาตุเป็นหลักฐานสืบมาถึงทุกวันนี้.
*บันทึกข้อมูล และถ่ายภาพ โดย ดร.พระมหาถนัด อตฺถจารี
No comments:
Post a Comment