Wednesday, January 16, 2008

ลานสิงหบาท





ลานสิงหบาท




พอผ่านบันไดหินขั้นสุดท้ายก็เป็นลานขนาดกว้างพอนั่งพักได้สบาย หายเหนื่อยเลยทีเดียวพอมาถึงชั้นนี้แล้ว เป็นการเรียกกำลังใจกลับมาเพราะนี่มาถึงประตูสวรรค์จริง ๆ แล้ว ก่อนที่จะขึ้นยอดเขาเพื่อไปชมวิมานของพระอินทร์ คือปราสาทราชมณเฑียรของพระเจ้ากัสยปะนั้นเอง
แต่ก่อนจะผ่านประตูนี้ ก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเหลือบไปเห็นเท้าสิงห์ที่สลักจากหินใหญ่โตมาก เล็บแต่ละเล็บยาวถึง ๗ – ๘ ฟุต หลายท่านคงจะนึกออกถ้ากล่าวถึงรูปสฟิงซ์ที่หน้าปีรามิดในอียิปต์ คือรูปแกะสลักสิงโตขนาดใหญ่ที่มีหน้าเป็นคน แต่สิงโตที่ลานสิงหบาทนี้คงเหลือให้เห็นแต่เท้ากับกรงเล็บที่แหลมคมน่าเกรงขาม คติความเชื่อที่สร้างรูปนี้ขึ้นมาไม่ทราบว่าใครเลียนแบบใคร แต่ถ้าว่าตามประวัติศาสตร์แล้วอียิปต์ย่อมมาก่อนแน่ แต่ไอเดียนี้พระเจ้ากัสยปะคงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองอียิปต์แล้วเก็บเอาสร้างที่นี่แน่ แต่บังเอิญว่าแนวความคิดมันมาตรงกันเท่านั้น เพราะยุคสมัยห่างกันมาก และอีกอย่างสื่อเทคโนโลยีไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่เราติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องเตินทางไปด้วยตนเอง
แต่ที่มาของรูปปั้นสิงโตนี้ได้มาจากชื่อของภูเขาลูกนี้ซึ่งมีชื่อว่า “สิงหบรรพต” ก็คือภูเขารูปสิงห์ มองจากจุดนี้ จะเห็นภูเขาทั้งลูกเป็นรูปสิงห์หมอบ ระหว่างเท้าสิงห์มีบันไดที่แกะลึกลงไปในหิน เพื่อปีนขึ้นไปถึงยอด ซึ่งหน้าผาชันประมาณ ๗๐ – ๘๐ องศา มีบันไดซึ่งทำด้วยการสกัดหินเป็นขั้นๆ และรั้วเหล็ก พร้อมด้วยราวสำหรับจับ กว่าจะขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นบนสุดก็ต้องไต่บันไดขึ้นไปอีกกว่า ๑๐๐ ขั้น
มีหลายท่านเมื่อเดินทางขึ้นมาถึงลานสิงหบาทแล้วขอพักเหนื่อยก่อน และให้พวก ๆ เดินทางไต่หน้าผาขึ้นไปก่อน เพราะว่ามันเป็นการเสียงอันตรายมากเกินไป ในช่วงไต่บันไดเหล็กจากประตูเท้าสิงห์ขึ้นไปถึงลานพระราชวังนี้จะต้องใจกล้าเต็มร้อย คือจะต้องเป็นโรคไม่กลัวความสูง และมีกำลังแข็งขาดีพอสมควรในการพาสังขารขึ้นสู่ที่สูงจากแรงโน้มถ่วงของโลก

ลานสิงหบาทนี้จึงเป็นฉากถ่ายรูปของบรรดานักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึง และเป็นข้ออ้างที่จะไม่ปีนหน้าผาต่อ โดยจะขอถ่ายรูปหน้าเท้าสิงห์ที่ผงาดอยู่ในท่าหมอบครึ่งตัว แต่ไม่มีหัว มีแต่เท้าและกรงเล็บยื่นออกมา ประหนึ่งว่าพญาราชสีห์ปรากฏตัวออกจากเหลี่ยมเขา อ้าปากกว้างเป็นทางเสด็จผ่านทุกๆวันของพระราชาผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์บนพื้นพิภพนี้
เมื่อก่อนนั้น ลานสิงหบาทแห่งนี้สร้างไว้เป็นลานที่พักของบรรดาข้าหลวง หรือ ข้ารับใช้ใกล้ชิดของพระเจ้ากัสยปะและมเหสี ยามค่ำคืนจะเสด็จขึ้นไปประทับบนปราสาทตามลำพัง ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปด้วย จะต้องรอรับใช้อยู่ลานสิงหบาทนี้ เท่านั้น

Srigiriya : The Heaven on Earth




นางอัปสรสวรรค์ ที่หน้าผา สิกิริยา






หลังจากที่รอขึ้นบันไดเวียนเป็นก้นหอยเพื่อที่ยลโฉมนางอัปสรทั้งหลายบนหน้าผาสูงชัน และแล้วความฝันของหลาย ๆ คนก็เป็นจริง คือได้ไปยืนอยู่บนหน้าผาที่เป็นเพิงถ้ำพอเป็นที่กันแดดและฝนทำให้ภาพประวัติศาสตร์เหล่านั้นไม่ลบเลือนไปตามกาลเวลาอันควร บวกกับเทคนิคการเขียนภาพแบบเฟรสโกซึ่งได้อธิบายไปแล้วนั้นด้วย จึงทำให้หลาย ๆ ท่านตกตลึงกับภาพของความงดงามด้านศิลปะทางสรีระของหญิสาวซึ่งนักประวัติศาสตร์หลายท่านตีความว่าเป็นนางฟ้า หรือนางอัปสรสวรรค์ เพราะว่าผู้ที่สร้างพระราชวังนี้ต้องการที่จะชลอสวรรค์มาไว้บนพื้นพิภพ
ดังนั้นจึงต้องมีนางฟ้า นางสวรรค์มาอวพร ด้วยการโปรยดอกไม้ และถือเครื่องบรรณาการมาถวายเจ้าแห่งสวรรค์คือ ลัทธิเทวราชาที่พระเจ้ากัสยปะสถาปนาขึ้น มติมีนัยหนึ่งที่นักปราชญ์ทางศิลปะและประวัติศาสตร์ได้แสดงเอาไว้คือ รูปเขียนเหล่านี้เป็นภาพวิถีชีวิตของนางสนมกำนันในของพระเจ้ากัสยปะนั้นเอง เพราะดูจากการแต่งกายของนางกษัตริย์ในสมัยโบราณจะปล่อยหน้าอก ไม่สวมเสื้อผ้า เพราะถือว่าเป็นธรรมชาติของสตรีที่มีเรือนร่างสวยงาม สิ่งที่จะอวดโฉมโนมพรรณ ก็คือปทุมถันที่สวยงามที่สุดในเรือนกายของเธอนั่นเอง
แต่ใครจะตีความอย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ยังทึ่งในความสามารถของศิลปินโบราณ โดยเฉพาะความเพียรพยายามในการปีนป่ายหน้าผาเพื่อสร้างสรรค์งานศิลป์ชิ้นสำคัญของโลกนี้ไว้ให้เราได้ยลในวันนี้

เลียบหน้าผาผ่านประตูสวรรค์


ลงจากบันไดเวียน ซึ่งในปีนี้(กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐)มีการสร้างบันไดเพิ่มทางขึ้น-ลงเป็นวันเวย์โดยไม่ต้องรอคิวเวลาลงจากถ้ำภาพลพอชมภาพเสร็จแล้วก็ไปลงอีกบันไดหนึ่ง เพื่อที่จะไปชมสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ อีก คือ ลงไปยังกำแพงหินที่ขัดเงาเหมือนกระจกนั่นแหละ และที่จะต้องผ่าน คือประตูสวรรค์ด้วย เรียกว่า หงส์ทวาร เพื่อเลียนแบบเขาไกรลาส
พวกเราเดินเลาะไปตามกำแพงซึ่งก็เป็นทางเดินแคบ ๆ ต้องตั้งแถวเรียงหนึ่ง ถ้ามีคนเดินสวนทางลงมาก็ต้องหลบแอบหันหน้าเข้าหาหน้าผาตัวลีบเลย จึงจะผ่านกันได้ พอสุดกำแพงนี้ ก็ต้องปีนบันไดหินสูงชัน(โดยไม่มีราวให้เกาะ) ในช่วงนี้กว่า ๑๐๐ ขั้นที่เป็นขั้นบันไดปีนถึงหน้าผาชัน ถึง ๘๐ องศา ต้องรอคิวขึ้นอีก พลาดท่าเสียทีหล่นลงไป มีหวังพระท่านได้บังสุกุลแน่เรียกว่า เมื่อเสี่ยงตายกันตะกายขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูกันให้คุ้ม ขณะที่ต้องเดินตามบันไดเหล็ก ซึ่งเจาะหน้าผา เพื่อไปลานสิงหบาทที่เป็นลานใหญ่ก่อนขึ้นปราสาทที่ผู้สร้างประสงค์จะให้เป็นวิมานลอยฟ้า การเดินทางช่วงนี้เหมือนกับการไต่หน้าผาผจญภัย ลมแรงมาก จนจีวรพระปลิวสะบัด ภูเขาถูกแรงธรรมชาติกัดเซาะถึงกับเว้าเข้าไป ดังนั้นผู้เดินต้องระวัง แต่ก็ยังโชคดีตรงที่ทางบ้านเมืองก่อกำแพงหนาๆป้องกันลม นี่ถ้าไม่มีกำแพงกั้นเช่นนี้ก็คงยุ่งยากอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะพระเจ้าคุณเจ้าต้องจับล่างหนีบบนกันจ้าละหวั่น จะบรรยายให้เห็นภาพในช่วงนี้ค่อนข้างยาก