Monday, July 30, 2007

หลายมุมมองส่องลังกา : the face of Sri Lanka






ศรีลังกาในหลากหลายแง่มุมมอง
มีผู้ให้คำนิยาม ประเทศศรีลังกา ไว้หลายความหมายทั้งในแง่ของนักเดินทางท่องเที่ยว นักประวัติศาสตร์ นักการศาสนา และนักกวีนิพนธ์ ซึ่งได้มาพบเห็นเกิดความประทับใจในแง่มุมที่ตนเองชอบ บ้างก็ว่า ศรีลังกา คือ “เกาะสวรรค์บนพื้นพิภพ” เพราะมีความสวยงามในลักษณะของภูมิประเทศ และภูมิอากาศ ตลอดถึงผู้คนที่น่ารักเพราะถูกกล่อมเกลาด้วยธรรมะคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
บ้างก็ว่า “ศรีลังกา คือ ไข่มุกแห่งคาบสมุทรอินเดีย” เป็นดินแดนแห่งหาดทรายสวย สายลมเย็น แสงแดดจ้าที่นักท่องเที่ยวแถบยุโรป อเมริกาหนีหนาวมาพักผ่อนอาบแสงอาทิตย์ สูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับบริการแห่งความมีน้ำใจของเจ้าของประเทศจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
บ้างก็ว่า “ศรีลังกา คือ เมืองแห่งห้องเก็บมหาเจดีย์ที่มีเอกสารเป็นรูปแบบ เป็นพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนาที่คงหลักฐานปรากฏอยู่ทั่วประเทศ (พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก) หรือ จะเรียกว่าเป็นตู้คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้
และ ศรีลังกา เป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม และความมีน้ำใจของชาวเกาะ เป็นแดนสุขาวดี บนพื้นโลกที่ประพรมไปด้วยสีเขียวสดแห่งต้นไม้ และพืชพันธุ์ธัญญาหาร พร้อมทั้งกลิ่นหอมจรุงใจของเครื่องเทศ และแพรวพราวด้วยอัญมณีที่มีค่า จนมีเมืองชื่อว่า รัตนบุระ และมีนักกวีนิพนธ์ได้กล่าวถึงพื้นที่ของประเทศศรีลังกาเปรียบเหมือน หยดน้ำตาของสาวน้อย (ซึ่งเปรียบเปรยประเทศอินเดียเป็นใบหน้าของหญิงสาว) ซึ่งพื้นที่เกาะ หลุดออกไปจากผืนแผ่นดินใหญ่อนุทวีป คืออินเดียในปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่เกินความจริงที่จะเรียกชื่ออย่างนั้น เพราะสรรค์แห่งใหม่ของผู้ที่มีหัวใจรักธรรมชาติอยู่ที่นี่ และให้เกาะสรรค์แห่งนี้เป็นสื่อแห่งความสวยงามตามธรรมชาติกับมนุษยโลกในพื้นพิภพนี้
ในอดีตแม้จะมีผู้กล่าวถึงชาวพื้นเมืองของลังกาว่าเป็นพวก ยักษ์ พวกนาค และรากษส เป็นคนป่าคนเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม แถมยังกินเนื้อสด ๆ เป็นอาหาร มีบันทึกโบราณกล่าวถึงพวกคนป่าที่ชาวยุโรปเดินเรือมาถึงและได้พบเห็นวิถีชีวิตเขาเล่าว่า มีเรือสินค้าไปอับปาง ณ เกาะลังกาถูกพวกรากษสจับไปกินเป็นอาหารบ้างก็มี
แต่สภาพแห่งความเป็นจริงแล้ว ศรีลังกา ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และไม่ทำให้ท่านที่เดินทางมาเยือนผิดหวัง มีแต่ความประทับใจ ตรึงใจกลับไปทุกราย เมื่อกลับไปแล้วก็ถวิลหาอยากกลับมาอีก อย่างที่ไม่สามารถจะหาที่ไหนประทับใจเท่านี้อีกเลย

ทำไมถึงชื่อ ลังกา ? Why Sri Lanka






มารู้จักศรีลังกากันก่อน

ก่อนอื่นก็ขอเล่าประวัติกล่าวนามตามตำนานสิงหลก่อนว่า “ศรีลังกา” หรือ Ceylon ในภาษาอังกฤษนั้นมีความเป็นมาอย่างไร หลายท่านตั้งคำว่าถามว่า “ไปดูอะไรที่ศรีลังกาเมืองยักษ์ทศกัณฐ์ในเรื่องรามเกียรติ์นั้นหรอ โอ้ ก็น่าสนใจดีนะถ้ามีอะไรน่าชมเหมือนในตำนาน” ก็นี่แสดงว่าโยมท่านนั้นติดตามเรื่องราวในวรรณคดี อย่างน้อยก็ยังรู้ว่า ศรีลังกาอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ วรรณคดียอดฮิตของไทยที่เรารับมาจากอินเดีย และศรีลังกาเองก็รับเอาวัฒนธรรมของอินเดียอีกต่อหนึ่ง เพราะเจ้าชายวิชัย ผู้เป็นบรรพบุรุษของชาวสิงหล ก็มาจากอินเดียตอนใต้ (เอาไว้เล่าให้พิศดารตอนต่อไป)
ตอนนี้ขอเล่าเรื่อง ชื่อศรีลังกา ก่อน ถ้าว่าตามประวัติศาสตร์ประเทศต่าง ๆ ในโลก ประเทศศรีลังกาก็มีอายุเก่าแก่ประเทศหนึ่งเหมือนกัน ชื่อของประเทศก็มีการเรียกขานกันตามยุคต่าง ๆ กัน อย่างผู้ที่เคยเรียนภาษาบาลีมาสายวัดหรือ บรรดามหาเปรียญทั้งหลายก็จะรู้จักในนาม ตัมพปัณณิทวีป บ้าง ลังกาทวีป บ้าง หรือ สิงหลทวีป บ้าง ซึ่งมีปรากฎในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาพากย์ภาษาบาลี
ส่วนชาวยุโรป และชาวเอเชียด้วยกันที่เรียนภาษาอังกฤษ หรือ อ่านตำราของฝรั่ง(เศส) ฝรั่ง(อังกฤษ) ก็จะรู้จักในนาม SEALAND หรือชาวทะเล “ชาวเล” เหมือนที่เรียกชาวภาคใต้ในบ้านเราซึ่งก็ถูกทีเดียวเพราะประเทศนี้เป็นเกาะล้อมรอบไปด้วยทะเล มหาสมุทร ซึ่งคำว่า ซีแลนด์นี้ เรียกกันไปเรียกกันมาก็เพี้ยนมาเป็น ซีลอน (Ceylon)
เอาหละค้นต่อไปในคัมภีร์ทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า คัมภีร์ศาสนวงศ์ มีประวัติตามคัมภีร์ว่าในสมัยพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ชื่อของลังกานี้ก็ไม่เหมือนกันอีก เช่นในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้ากกุสันโธ มีชื่อว่า “โอชทวีป” ในสมัย พระโกนาคมนะ มีชื่อว่า “วรทวีป” และในสมัย พระกัสปะพุทธเจ้า มีชื่อว่า “มัณฑทีปะ” เป็นต้น แต่ชาวกรีก กับพวกโรมัน เรียกเกาะลังกานี้ว่า “แท็ปโพเบรน” (Taprobane) ซึ่งเพี้ยนมาจาก ตัมพปัณณิ แปลว่า “เกาะแห่งคนฝ่ามือแดง” (ฝ่ามือแดงอย่างไรเอาไว้คุยกันต่อในบทต่อไป)
ชื่อ ซีลอน ที่เรารู้จักอย่างเป็นทางการนี่ก็เรียกขานกันมาจนกระทั่งสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ พอได้รับเอกราชก็ประกาศชื่อประเทศใหม่ ว่า “ศรีลังกา” ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ แต่เราก็เรียกว่า ลังกา มาตลอดตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว ที่เรารู้จักประเทศนี้ เพราะเรารับพระพุทธศาสนาลัทธิ “ลังกาวงศ์” จากประเทศศรีลังกานี้เอง

สัมผัสแดนพุทธศาสนา ๒,๓๐๐ ปี






บันทึกการเดินทางไปนมัสการพระธาตุเขึ้ยวแก้วและทัศนศึกษา ณ ประเทศศรีลังกา
ระหว่างวันที่ 21 - 28 กุมภาพันธ์ 2550

เหิรฟ้ามาไกล จากกรุงเทพ ฯ สู่โคลัมโบ
วันนี้ตื่นนอนแต่เช้าทำภารกิจส่วนตัวแล้วก็เตรียมจัดกระเป๋าสิ่งของต่าง ๆ ที่จะติดตัวไปในการจาริกบุญสู่ประเทศศรีลังกา รู้สึกมีความภาคภูมิใจ เพราะว่าได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้า ผู้จัดรายการถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระเทพกิตติโสภณ ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา และนำญาติโยมจากมหานครนิวยอร์ค เดลแวร์ นิวเจอร์ซี่ และแมรี่แลนด์ พร้อมทั้งญาติโยมจากประเทศไทยด้วย รวมทั้งพระสงฆ์ และฆราวาส ๓๕ รูป/ชีวิต
ในตอนเช้าของวันนี้ได้โทรศัพท์นัดเวลาประมาณ ๔ โมงเย็นพร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่พอประมาณเที่ยงวัน ท่านพระธัมมานันทะ (Ven. Dhammanadha) พระจากประเทศศรีลังกามาศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ช่วยทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเรื่องตัวเครื่องบิน ได้รับโทรศัพท์จากผู้จัดการศรีลังกาแอร์ไลน์ บอกว่าเครื่องดีเลย์ ๒ ชั่วโมง เพราะสภาพอากาศที่นครปักกิ่ง มีหิมะตกหนักเครื่องบินจะมาถึงกรุงเทพฯ ช้ากว่าปรกติ
จะทำอย่างไรดี จะโทรศัพท์บอกลูกทัวร์อีกทีก็ไม่ทันบางท่านเดินทางมาจากต่างจังหวัด บางท่านต้องออกจากบ้านแต่เช้า ก็เลยต้องมารอที่สนามบินตั้งแต่ ๔ โมงเย็นตามกำหนดเดิม แต่ก็ไม่เป็นไร มองในแง่ดีทำใจให้เป็นบุญกุศล ก็คือคณะเราจะได้มีเวลาที่จะเช็คอินได้อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องรีบร้อน
เวลาประมาณ ๖ โมงเย็นเมื่อทุกคนมาพร้อมกันอย่างเรียบร้อยได้แจกกำหนดการเดินทาง หนังสือสวดมนต์ เพื่อใช้ตลอดเส้นทางในการนมัสการสถานที่สำคัญในเมืองต่าง ๆ และป้ายติดกระเป๋าคนละป้ายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเช็คอิน-เช็คเอาท์ เสร็จแล้วได้เข้าเช็คอินที่เคาน์เตอร์ศรีลังกาแอร์ไลน์ โดยการชั่งน้ำหนักรวมทั้งพระพุทธรูป ๒ องค์ และกระเป๋าจำนวน ๓๖ ชิ้น ทุกอย่างเรียบร้อย แล้วเจ้าหน้าที่สายการบินได้แจกคูปองสำหรับรับประทานอาหารเย็น เพราะว่าเครื่องบินดีเลย์ประมาณ ๔ ชั่วโมง ให้ญาติโยมไปเลือกรับประทานอาหารตามอัธยาศัยในเวลารอก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองขาออกแล้ว คณะได้ไปรอขึ้นเครื่องบินที่ประตูทางออกบี ๔ (B4)
ตอนนี้แหละทุกคนบ่นกันอึดเลยเพราะต้องเดินไกลเป็นกิโลเมตรพอเดินไปถึงหน้าประตูขึ้นเครื่องบิน เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่เปิดให้เข้าไปนั่งรอ บอกว่ายังไม่ถึงเวลาต้องให้เที่ยวบินอื่นเขาใช้ไปก่อน ต้องนั่งรอบนพื้นตามทางเดิน อนิจจา..น่าสงสารตัวเองและคณะซึ่งล้วนแล้วแต่มีผู้สูงวัยเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องทำใจ ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนก่อนจะไปบำเพ็ญบุญ
เวลา 22:55 น.เครื่องบินของสายการบินศรีลังกาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ UL 899 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมุ่งหน้าสู่กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา
พอเครื่องบินปรับระดับเพดานบินเข้าที่แล้วแอร์โฮสเตทได้นำอาหารและเครื่องดื่มมาบริการ ซึ่งของพระคุณเจ้านั้นมีเนยใส เนยเข้น นำผึ้ง น้ำส้มและน้ำชากาแฟ เลือกฉันได้ตามอัธยาศัย ส่วนญาติโยมก็มีอาหารศรีลังกันเสิร์ฟ กลิ่นโชยมา ไม่ต่างจากอาหารอินเดียสักเท่าไร พอเครื่องบินบินข้ามมหาสมุทธอินเดียมีความรู้สึกว่าเหมือนนอนเปล เพราะเครื่องจะตกหลุมอากาศบ่อย เลยเป็นเครื่องกล่อมให้หลับอย่างดี ในสถานการณ์เช่นนี้หลับเท่านั้นที่พอจะทำได้
มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งเมื่อพนักงานเตือนให้รัดเข็มขัดเพราะเครื่องจะร่อนลงสู่สนามบินนานาชาติ โคลัมโบ กัตตุนายเก อีกประมาณ ๒๐ นาที ตื่นจากภวังค์ตั้งสติเตรียมแตะแผ่นดินแห่งกรุงลงกาในตำนาน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องในตำนาน แต่เป็นเรื่องจริงที่กำลังเผชิญอยู่เฉพาะหน้า

สัมผัสดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา
เครื่องบินได้ร่อนลงแตะรันเวย์ของสนามบิน โคลัมโบ กัตตุนายเก สนามบินพาณิชย์แห่งเดียวของศรีลังกาตามเวลาท้องถิ่นประมาณ ตี ๑ กับ ๒๕ นาที เดินทางถึงท่าอากาศยานกรุงโคลัมโบ ใช้เวลา ๓ ชั่วโมงกับ ๒๕ นาที สนามบินแห่งนี้ไม่ใหญ่โตเหมือนที่อื่นที่เคยไปสัมผัสมาตัวอาคารที่ทำการสนามบินก็กระทัดรัดเหมาะสมกับสภาพเกาะ และพื้นที่ใช้สอยก็กำลังพอดี
ก้าวแรกที่สัมผัสแดนแดนพุทธศาสนา ๒,๓๐๐ กว่าปี คือความอบอุ่นใจที่ได้มาเมืองชาวพุทธ ไม่ใช่แต่เป็นเพียงประวัติศาสตร์ หรือตำนานในหนังสือเท่านั้น แต่ยังคงความเป็นพุทธทุกกระเบียดนิ้ว เริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่สนามบินก็จะมองเห็นพระพุทธรูปปางสมาธิสีขาวประดิษฐานอยู่บนแท่นตั้งไว้กลางห้องโถงที่จะเข้าสู่สถานที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งทุกคนจะต้องเดินผ่านตรงนั้นก่อนที่จะเข้าไปผ่านเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง นี่คือบ่งบอกถึงสัญลักษณ์ในทางพระพุทธศาสนา และความเป็นชาวพุทธของศรีลังกา ก็ยังปรากฎให้เห็นในรูปแบบของการแต่งกายสีขาว และที่หน้าแท่นพระพุทธรูปองค์นี้ก็ยังมีดอกไม้สดสีขาวส่งกลิ่นหอมฟุ้งเมื่อเดินเข้าใกล้ แสดงว่ามีการนำดอกไม้มาบูชาพระเป็นประจำ พวกเราชาวพุทธด้วยกันที่เดินทางมาถึงเห็นแล้วก็อดยกมือไหว้ไม่ได้ ต่างคนก็ได้น้อมไหว้นมัสการด้วยความเคารพนบน้อม และรู้สึกอบอุ่นใจในการต้อนรับของเจ้าของประเทศเช่นนี้
ผ่านพิธีตรวจค้นเข้าเมืองแล้วก็ออกมารับกระเป๋าและสัมภาระต่าง ๆ ที่นำไปมีพระพุทธรูป ๒ องค์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายศุลกากรทำท่าจะเก็บภาษี แต่ด้วยความใจบุญของนักธุรกิจศรีลังกาที่เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกันกับพวกเราได้ออกค่าใช้จ่ายให้ ซึ่งก็ไม่มากมายอะไรนักแต่มากด้วยน้ำใจ เป็นเงินศรีลังกา ๑,๗๐๐ รูปี ขออนุโมทนาในบุญกุศลแด่นักธรกิจท่านนั้น ณ ที่นี้ด้วย เมื่อพ้นเขตตรวจกระเป๋าของฝ่ายศุลกากร แล้วทุกคนต่างก็เตรียมแลกเงิน เพื่อที่จะเอาไว้ใช้จ่ายและทำบุญในระหว่างการเดินทาง อัตราวันนี้ ๑ เหรียญดอลล่าห์ เท่ากับ ๑๑๐ รูปี ทุกคนต่างยิ้มย่องผ่องใสพกเงินรูปีกันเต็มกระเป๋าพร้อมที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้
เดินออกมาถึงด้านหน้าของอาคารรับผู้โดยสารขาเข้า คุณ Sham ผู้นำทัวร์ตัวแทนจากบริษัท Yolyash, มารับไปขึ้นรถบัสปรับอากาศขนาด ๔๕ ที่นั่งซึ่งจอดรอรับอยู่แล้ว เมื่อขนกระเป๋าขึ้นรถเรียบร้อย สมาชิกนั่งบนรถพร้อมหน้า อาตมา(พระมหาถนัด อตฺถจารี) ในฐานะผู้นำคณะจาริกแสวงบุญ ได้จับไมค์ทักทายเป็นภาษาสิงหล “อายุบวร แปลว่า สวัสดี “ กล่าวต้อนรับเข้าสู่ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ๒,๓๐๐ ปี เล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ได้จัดคณะมาจาริก แสวงบุญในครั้งนี้ ด้วยต้นศรัทธา คือ คุณณรงค์ศักดิ์ คุณรันตนา โชติกเวชกุล ได้เดินทางมาศรีลังกาเมื่อปีที่แล้ว ได้ไปกราบพระพุทธรูปใหญ่ที่เมืองแคนดี้ เกิดมีศรัทธาเลื่อมใสอยากจะถวายพระพุทธรูปแบบไทยไว้ภายในองค์พระประธานใหญ่นั้น จึงได้แจ้งความจำนงแก่เจ้าอาวาสจะนำพระพุทธรูปมาถวาย เพื่อจัดแสดงเป็นห้องพิพิธภัณฑ์
การเดินทางมาครั้งนี้ได้นิมนต์พระเดชพระคุณ พระเทพกิตติโลภณ ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา วัดวชิรธรรมปทีป นครนิวยอร์ค เป็นประธาน และมีประสงฆ์อีก ๗ รูป มีฆราวาส ๒๗ คน มาจากรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา และจากประเทศไทย